วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

โรคแพ้แสงเเดดในเด็ก ( Chronic Actinic Dermatitis)



เกิดจาการการแพ้เเสงยูวี เอ และยูวีบี เมื่อถูกแสงแดดสัมผัส จะไปกระตุ้นภูมิต้านทานในร่างกายให้เกิดความแปรปรวน และเเสดงอาการออกมา

อาการแสดง โรคแพ้แสงเเดดในเด็ก  

หลังจากสัมผัสแสงแแด จะมีอาการคัน และมีผื่นขึ้นตามร่างกาย ในรายที่แพ้มาก จะเป็นผื่นนูนคันตั้งแต่ศีรษะจนไปถึงข้อเท้า มีลักษณะคล้ายผิวคางคกและบางทีมีน้ำเหลืองด้วย ซึ่งร่างกายจะแสดงอาการเมื่อมีการสะสมพลังงานพอ

การรักษาโรคแพ้แสงเเดดในเด็ก  

รักษาตามอาการที่แสดง บางรายต้องใช้ยาสเตียรอยด์เพื่อไม่ให้อาการกำเริบ  และ ให้แช่ในสารฟอกขาวด้วย

การป้องกัน โรคแพ้แสงเเดดในเด็ก  

ทาครีมกันแดดสำหรับเด็กที่ป้องกันยูวีเอและยูวีบี ซึ่งมีค่า SPF 40 ขึ้นไป และทาทับทุกๆ 2 ชั่วโมง
สวมหมวกปีกกว้างสีเข้ม สามารถป้องกันรังสียูวีที่กระทบที่หน้าได้ 50-80 %
กางร่มให้ห่างจากผิวหนัง 10-20 เซนติเมตร
คุณพ่อคุณแม่ต้องพิจตารณาติดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ปัจจุบันฟิล์มกรองแสงสามารถกรองแสงได้แทบทุกความยาวคลื่น
ไม่พาลูกเล่นตากเเดดมากเกินไป แสงแดดที่ปลอดภัยสำหรับเด็กอยู่ในช่วงเวลา 7 – 8 โมงเช้า และเย็น 5 -6 โมงเย็น


ตัวอย่างเคส โรคแพ้เเสงแดด ประเทศออสเตรเลีย

หนูน้อยมอนโร มิลส์ วัย 2 ขวบ จากรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเธอเป็นโรคผิวหนังและแพ้แสงอาทิตย์ขั้นรุนแรง ถึงขั้นที่ว่าถ้าออกไปเจอแดดเมื่อไหร่ เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ผิวหนังก็จะขึ้นเป็นผื่นทั่วตัว ปวดแสบปวดร้อนทันที นอกจากนี้จะยังมีอาการอื่นๆด้วย เช่น ปวดหัว ปวดท้อง อ่อนแรง และวิงเวียนศีรษะ ทั้งหมดนี้สร้างความทุกข์ใจให้แก่ซาร่าห์ มิลส์ ผู้เป็นแม่มากไม่เพียงแต่แสงแดดเท่านั้น แต่แค่เวลาไปช็อปปิ้งกับแม่ แล้วเจอแสงไฟในห้าง อาการของมอนโรก็ออกแล้ว คือมีแผลเป็นจ้ำๆทันที และทางเดียวที่จะบรรเทาอาการได้คือต้องพาไปอาบสารฟอกขาว ทาครีมสเตียรอยด์ และก็เอาปลาสเตอร์ชื้นๆแปะเป็นชั้นๆจนทำให้ทุกวันนี้ เวลาจะออกนอกชายคาบ้าน มอนโรต้องสวมชุดป้องกันแสงทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างมิดชิดเป็นพิเศษ รวมไปทั้งทาครีมกันแดดและสวมแว่นตาดำด้วย





ขอบคุณที่มาเนื้อหา :  mamaexpert.com




Share This

0 ความคิดเห็น: